ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ทุกตะวันลับฟ้าที่เมืองชาละวัน...มีความรักที่ยังรอคำตอบ

 เมื่อตะวันลับฟ้า...ที่พิจิตรยังมีคนคอย



ณ ขอบฟ้าเมืองชาละวัน เมื่อแสงสุดท้ายของวันอาบไล้ทุ่งรวงทองให้กลายเป็นสีอำพัน คือภาพความงดงามอันเป็นนิรันดร์ของจังหวัดพิจิตร แต่ในความงดงามนั้นเอง หากเราลองเงี่ยหูฟังเสียงกระซิบของสายลมที่พัดผ่านยอดข้าว เราอาจได้ยินเรื่องราวของคำสัญญา และการรอคอยที่ยังไม่เคยเลือนรางไปกับกาลเวลา เรื่องราวของ "พิจิตรยังคอย"

บทเพลงนี้ไม่ได้เป็นเพียงเมโลดี้หวานเศร้า แต่คือภาพสะท้อนของโลกสองใบที่หมุนด้วยความเร็วต่างกัน โลกใบหนึ่งคือพิจิตร ที่ซึ่งวิถีชีวิตยังคงเรียบง่าย มั่นคง เสียงแคนยังกล่อมทุ่ง หนุ่มบ้านนายังคงทำหน้าที่ของตนเองอยู่กับผืนดินและสายน้ำที่คุ้นเคย ทุกสิ่งเหมือนเดิม...ยกเว้นหัวใจที่เคยมีคนเคียงข้าง


ปลายขอบฟ้าพิจิตร...สุดสายตาของความคิดถึง

ส่วนโลกอีกใบคือบางกอก "เมืองฟ้า" ที่เต็มไปด้วยแสงสี ความหวัง และโอกาสใหม่ๆ มันคือโลกที่ดึงดูดคนรักให้จำต้องจากไปไกล พร้อมกับคำสัญญาที่ฝากไว้ว่าจะหวนคืนกลับมา แต่แสงไฟนีออนแห่งเมืองหลวงนั้นช่างเจิดจ้าเสียจนอาจทำให้แสงจันทร์นวลที่เคยส่องสว่าง ณ ริมบึงสีไฟต้องมืดมนลงในความทรงจำ

หัวใจของบทเพลงและบทความนี้อยู่ที่ "คำสัญญา" ที่ถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง มันไม่ใช่แค่คำพูด แต่คือหมุดหมายที่ตอกตรึงหัวใจของคนรอไว้กับที่เดิม ทุกสถานที่ที่เคยมีร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็นริมน้ำน่าน หรือใต้ต้นโพธิ์ที่เคยไปอธิษฐานขอพร ล้วนกลายเป็นอนุสาวรีย์แห่งความทรงจำที่คอยย้ำเตือนถึงวันวาน และทวีความเจ็บปวดของการรอคอยให้ชัดเจนขึ้นทุกวัน

ความเงียบคือคำตอบที่โหดร้ายที่สุด การเฝ้ารอข่าวคราวที่ไร้วี่แวว ก่อให้เกิดคำถามนับล้านในใจ "สนุกไหมแก้วตา" "ลืมกันแล้วหรือยัง" "มีคนใหม่แล้วใช่ไหม" คำถามเหล่านี้ลอยวนอยู่ในห้วงคำนึง กลายเป็นเพื่อนเพียงหนึ่งเดียวในยามที่ต้องนอนหลับไปพร้อมกับน้ำตาและความฝันว่าคนรักยังคงอยู่เคียงข้าง

ท้ายที่สุดแล้ว "พิจิตรยังคอย" จึงไม่ใช่แค่เรื่องราวของหนุ่มสาวคู่หนึ่ง แต่เป็นตัวแทนของความรักที่มั่นคง ความห่างไกล และความหวังที่ไม่ยอมจำนน แม้ว่ารถไฟขบวนแล้วขบวนเล่าจะพัดพาความเจริญและผู้คนออกไปจากบ้านเกิด แต่สำหรับบางคน การหยุดรออยู่ที่เดิมไม่ใช่ความพ่ายแพ้ แต่คือการพิสูจน์ความสัตย์จริงของหัวใจ

และตราบใดที่ตะวันยังขึ้นและลงที่ขอบฟ้าเมืองพิจิตร...ที่แห่งนี้ จะยังมีคนเฝ้ารออยู่เสมอ

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

หลวงพ่อเงิน บางคลาน จอบใหญ่

เหรียญ จอบใหญ่ หลวงพ่อเงิน มีจุดตำหนิแห่งหนึ่ง ซึ่งนักเล่นจะให้สำคัญหรือเน้นการพิจารณามาก เพราะจะปรากฎพบทุกองค์นั้นจะสึกลบเลือนไปมากก็ยังเห็นอยู่ คือเส้นขอบเหรียญด้านล่างโย้ขึ้นไปจรดใต้ขาซ้ายแลดูคล้ายกับเส้นบล็อกแตกเป็นทางจากซุ้มไปจรดขา นอกจากนี้ก็ยังมีอีกตำแหน่งหนึ่ง ซึ่งนักเล่นเก่งๆพยายามปกปิด หากสวยสมบูรณ์จะเห็น “เนื้อล้น”ที่ข้างหูด้านขวา หรือเหนือหัวไหล่ขวาเป็นสันนูนออกมาเล็กน้อยคล้าย “รอยพับ” อีกทั้งห่วงหูขวาจะปรากฏ “เม็ดไข่ปลา”และเส้นซุ้มแบบเดียวกับด้านข้างองค์พระ โดยมักจะสึกลบเลือน เนื่องเพราะเป็นจุดนูนเหรือบริเวณสัมผัส และความหนาของห่วงระดับใกล้เคียงกับ”ซุ้มข้างองค์พระ” ปัจจุบันเหรียญ “จอบใหญ่” หลวงพ่อเงิน ของแท้แน่นอนหายากมากๆ ส่วนของปลอมเลียนแบบฝีมือยังห่างไกล

สืบสานตำนาน "ทหารผี" สู่ "พระกริ่งบางหอย" สุดยอดมหาอุด คงกระพัน โดยหลวงพ่อจาด

เปิดกรุ "พระกริ่งบางหอย" มรดกหลวงพ่อจาด ที่นักสะสมต้องมี ราคาจับต้องได้ เครดิตภาพ: web pra พระกริ่ง บางหอย หลวงพ่อจาด แบ่งออกเป็น 3 พิมพ์ ด้วยกัน คือ พิมพ์ใหญ่ พิมพ์กลาง พิมพ์เล็ก พุทธลักษณะพระกริ่ง บางหอย หลวงพ่อจาด พุทธลักษณะคล้ายพระกริ่ง 79 สมเด็จพระสังฆราชแพ โดยเฉพาะ พิมพ์ใหญ่ ด้านหลังมีตัว อุ อยู่ตรงกลางฐาน หล่อด้วยเนื้อทองผสม บางองค์เนื้อจัดมาก ผิวแบบเนื้อสัมฤทธิ์ก็มี  บางองค์แก่ทองเหลือง บางองค์แก่ทองแดง ในพิธีการเททองหล่อพระกริ่ง บางหอย นี้ ได้จัดสร้าง พระรูปหล่อลอยองค์ หลวงพ่อจาด ด้วย แต่น้อยมาก  นักสะสมพระเครื่องส่วนใหญ่ไม่รู้จักยกเว้นคนพื้นที่ พระรูปหล่อลอยองค์มี 2 พิมพ์ คือ พิมพ์ฐานตอกชื่อ สวัสดิ์ ผ่องสกุล (สันนิษฐานว่าเป็นชื่อผู้สร้าง) , พิมพ์ฐานจาร(แต่บางคนองค์ไม่มี)พระกริ่ง บางหอย พิจารณาเล่นหาได้ง่าย และมีจำนวนพระเครื่องที่หมุนเวียนเปลี่ยนมือในวงการก็มีมากพอเพียง และที่สำคัญราคาเช่าหายังพอสู้กันไหว พระกริ่ง บางหอย พิมพ์ใหญ่ พิมพ์กลาง และพิมพ์เล็ก ส่วนใหญ่ที่พบมักจะหล่องดงามมาแต่เดิม จึงไม่จำเป็นต้องแต่ง แต่ก็มีบ้างที่แต่งเซาะเนื้อรายละเอียดบางแห่ง...

เหรียญหลวงปู่ทอง วัดราชโยธา

เหรียญหลวงปู่ทอง วัดราชโยธา พระเกจิอาจารย์ที่มีอายุยืนยาวที่สุดถึง 117 ปี ท่านครองวัดซึ่งอยู่โดดเดี่ยวภายในแวดวงของอิสลามมิกชน ขอบคุณภาพสวยๆจาก ทีนิวส์ หลวงปู่ทองเหรียญหน้าจมเป็นเหรียญที่แกะด้วยฝีมือเป็นเลิศ เหรียญหลวงปู่ทองรุ่นแรกนี้ สร้างในราว ปี พ.ศ.2480 ซึ่งเป็น พระเครื่อง เหรียญรูปหลวงปู่เหรียญเดียวเท่านั้นที่สร้างในขณะที่ท่านยังดำรงชีวิตอยู่นอกจากเหรียญรุ่นนี้แล้ว ปรากฏว่า มีสานุศิษย์ของหลวงปู่ทองได้สร้างขึ้นอีก 2-3 แบบ สำหรับพระเครื่องวัตถุมงคลเหรียญหลวงปู่ทอง วัดราชโยธา รุ่น 1 ซึ่งท่านอาจารย์แก้ว คำวิบูลย์ เป็นผู้สร้างนี้มีอยู่ด้วยกัน 2 พิมพ์ด้วยกัน พิมพ์หนึ่งเรียกว่า พิมพ์หน้าลอย พิมพ์นี้ รูปท่านลายเด่นอยู่เหนือพื้นเหรียญ สำหรับอีกพิมพ์หนึ่งเรียกว่า พิมพ์หน้าจม นั้น รูปหน้าท่านจมลงไปในพื้นเหรียญอย่างเห็นได้ชัดเจน โดยเฉพาะอย่างยิ่งส่วนที่แสดงเป็นเบ้าตา , แก้มที่ตอบและรูปปากของท่านด้วยเอกลักษณะของพิมพ์ดังกล่าวแล้ว นักสะสมพระเครื่องจึงแยกเป็น พิมพ์หน้าลอยและพิมพ์หน้าจมสำหรับรายละเอียดนั้นเหมือนกันทั้ง ๒ พิมพ์ ผิดแต่ขนาดของพิมพ์หน้าลอยเล็กกว่าพิมพ์หน้าจมเล็กน้อยเท่าน...