อภินิหาร และ พระเครื่อง.......หลวงปู่ทิม อิสริโก
ในราตรีของวันที่ 16 ตุลาคม พ.ศ.2518 เวลา 23.35 น. กฎธรรมชาติอันเป็นสัจจะ คือ ชีวิต และ สังขารของสรรพสัตว์ที่อุบัติขึ้นในโลก ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือเดรัจฉาน เมื่อถึงกาลสิ้นอายุขัยแล้ว ชีวิตก็จะดับสังขารก็ผุพังมลายไปนั้น ได้ทำให้ชาวพุทธทั้งหลาย ต้องสูญเสียพระเถระผู้ทรงคุณอันประเสริฐไปอีกท่านหนึ่ง นั่นคือ พระคุณเจ้าพระครูภาวนาภิรัต (หลวงปู่ทิม) เจ้าอาวาสวัดไร่วารี จังหวัดระยอง เมื่อมีอายุได้ 96 ปีบริบูรณ์ ย่าง 97 ได้ 4 เดือน
ที่พระคุณเจ้าท่านนี้ เป็นพระเถระผู้ทรงคุณอันประเสริฐ นั้นก็เพราะพระคุณเจ้าท่าน เมื่อสละเพศฆราวาสมาครองสมณเพศ (ขึ้นต้นด้วยบรรพชาเป็นสามเณรก่อน เมื่ออายุครบ จึงอุปสมบทเป็นพระภิกษุสงฆ์) ท่านมีปฏิปทา เหมาะสมเป็นพระสาวกของสมเด็จพระพุทธองค์อย่างแท้จริง ขึ้นต้นด้วยยึดมั่นต่อพระธรรมวินัยของพระองค์อย่างเคร่งครัด ฉันภัตตาหารเพียงมื้อเดียว ภัตตาหารที่ฉันก็เป็นพืชผักและผลไม้ ปราศจากเนื้อสัตว์ชนิดใดทั้งสิ้น เพราะท่านไม่ต้องการเบียดเบียนทั้งมนุษย์ด้วยกัน ตลอดจนสัตว์เดรัจฉานที่เนื้อของมันเป็นอาหารของมนุษย์ โดยธรรมชาติกำหนด ซึ่งพระภิกษุส่วนมากก็ฉันกันโดยเต็มอกเต็มใจ และเอร็ดอร่อยในเนื้อสัตว์บางชนิดเป็นพิเศษ นอกจากท่านจะไม่เบียดเบียนแล้ว ในจิตสำนึกของท่านยังเปี่ยมด้วยความเมตตากรุณาต่อทั้งมนุษย์และสัตว์เดรัจฉาน
เมื่อท่านมุ่งหน้าสู่ร่มเงา ของพระบวรพุทธศาสนาด้วยความเลื่อมใสศรัทธาอย่างสูงสุด ไม่ใช่มุ่งไปสู่โดยมุ่งหมาย เอาวัดเป็นที่อยู่ อาศัย และ อาหารที่ชาวพุทธมีจิตศรัทธาต่อผู้ห่มครองกาสาวพัสตร์ถวายเป็นสิ่งยังชีพ ฉะนั้นท่านจึงตั้งอกตั้งใจศึกษา พระธรรม ของสมเด็จพระพุทธองค์ กระทั่งซึ้งและแตกฉาน การศึกษานี้เรียกว่า คันถธุระ และ ทางวิปัสสนากรรมฐาน ท่านก็พากเพียรฝึกฝนจนกระทั่งบรรลุญานชั้นสูง มีอินทรีย์ทางญาณแก่กล้า มีทิพจักขุและทิพโสด และ สามารถล่วงรู้ถึงวาระกำหนดที่ดวงวิญญาณของท่าน จะต้องสละร่างที่เสมือนเรือนที่ผุพังใช้เป็นที่อยู่อาศัยอีกต่อไปไม่ได้ล่วงหน้า และเมื่อถึงวาระนั้นแล้ว ก็สามารถถอดวิญญาณออกจากร่างได้ ซึ่งเป็นการตายของอริยบุคคล อันผิดจากการตายของบุคคลสามัญธรรมดาทั่วไป ซึ่งการตายของบุคคลสามัญนั้นหัวใจหยุดเต้น ด้วยความล้าถึงที่สุดแล้ววิญญาณจึงออกจากร่าง เรียกว่า “สิ้นใจ” ในระหว่างที่หัวใจค่อย ๆ ล้าลงจนถึงที่สุดนั้น ส่วนมากเจ้าของร่างจะไม่มีสติ พูดจาอะไรไม่มีใครรู้เรื่อง เสียงที่หลุดออกมาจากริมฝีปากแผ่วเบาแสนเบา ส่วนการตายโดยการถอดวิญญาณของท่านอริยบุคคล (ซึ่งส่วนมากอยู่ในสมณเพศ) นั้น หัวใจจะหยุดเต้นเมื่อถอดวิญญาณออกจากร่างแล้ว และก่อนที่วิญญาณจะออกจากร่างไปนั้น สติจะมีอยู่อย่างสมบูรณ์พูดจาสั่งเสียอะไรได้เหมือนกับว่าจะยังไม่ตาย
การถอดวิญญาณออกจากร่างของอริยบุคคล นอกจากไปเลยพราะร่างทรุดโทรมเพราะความชราหรือถูกโรคร้ายคุกคาม ไม่อาจรักษาเยี่ยวยาเหมือนบ้านเรือนที่ผุพังแล้วซ่อมใช้เป็นที่อยู่อาศัยได้อีก อันหมายถึงวาระสิ้นอายุขัยนั้นแล้วยังสามารถถอดออกไปให้ผู้คนเห็นกันในที่ไกลแสนไกลด้วยกายทิพย์ละกายเนื้อไว้ที่เดิม แล้วจึงกลับมาอย่างเช่น พระคุณเจ้า ธมฺมวิตกฺโก ได้ถอดวิญญาณออกจากร่างอันเป็นกายเนื้อของท่าน ไปปรากฏร่างด้วยกายทิพช่วยบำบัดทุกข์จากโรคภัยไข้เจ็บให้กับฝรั่งคนหนึ่งที่สหรัฐอเมริกา โดยที่ฝรั่งนายนั้นได้ทำบุญกุศลร่วมกับท่านมาแต่ชาติปางก่อน ซึ่งเรื่องนี้ พ.ต.อ. ชะลอ อุทกภาชน์ ผู้ศึกษาเกี่ยวกับวิญญาณ ได้เขียนลงในหนังสือพิมพ์ และ นายฝรั่งผู้นั้นได้ติดต่อมา สืบหาพระคุณเจ้าธมฺมวิตกฺโก เมื่อพระคุณเจ้าพระครูธรรมวัฒน์สุนทร ผู้ใกล้ชิดพระคุณเจ้าธมฺวิตกฺโก ได้ไต่ถามพระคุณเจ้า ไม่ตอบรับและก็ไม่ปฏิเสธ ทั้งนี้เพราะใช่ วิสัยพระอริยสงฆ์ จะโอ่อวดและกล่าวเท็จ จึงตอบด้วยหัวเราะอยู่ในลำคอ เป็นการตัดบท
จากการไปจากโลกนี้ของพระคุณเจ้าพระครูภาวนาภิรัต-หลวงปู่ทิม โดยการถอดวิญญาณไปทิ้งกายเนื้อที่ทรุดโทรมด้วยความชราภาพไว้ ข้าพเจ้าไม่ได้ทึกทักพูดเอาเอง ข้าพเจ้าพูด จากการบอกของท่านที่ได้บอกแก่บรรดาศิษย์ที่เฝ้าอาการอาพาธของท่านที่โรงพยาบาล ว่า ท่านขอกลับวัด เพื่อทำพิธีถอดวิญญาณ เพราะท่านจะอยู่ต่อไปอีกไม่ได้แล้ว เพราะท่านได้ขอผัดผ่อนต่อเบื้องบนมาสามครั้งสามคราวแล้ว
ข้าพเจ้าไม่มีโอกาสได้ไปใกล้ชิดท่าน จึงได้แต่ถามข่าวคราวของท่านจากคุณชินพร และวิเคราะห์ตามวิชาการที่ได้ศึกษา ข้าพเจ้าก็เข้าใจแจ่มแจ้ง ซึ่งขอนำมาบอกเล่าในโอกาส ส่วนท่านจะไม่เชื่อและเห็นว่าข้าพเจ้าเพ้อเจ้อ ก็สุดแต่อัธยาศัยของท่าน
ความจริง อายุขัยของท่านครบกำหนดที่จะต้องจากโลกมนุษย์ไปแล้วตั้งต่อายุของท่านได้ 92 ปี แต่ด้วยอานิสงส์อันเป็นกุศลเจตนาที่ท่านตั้งปณิธานขอสร้างสิ่งซึ่งจะเป็นศรีสง่าให้แก่วัดไร่วารี ซึ่งกล่าวได้ว่าเป็นวัดที่ตั้งอยู่ในป่าที่ท่านได้จำพรรษาในฐานะเจ้าอาวาสมาตั้งแต่หนุ่มจนสู่วัยชรา นั่นคือ “ศาลาการเปรียญ” อันโอ่อ่ามูลค่าก่อสร้างถึงสองล้านห้าแสน บาท แต่ท่านก็ต้องรอเรื่อยมาจนอายุล่วง 90 เพราะขาดปัจจัยที่จะใช้ในการก่อสร้าง ท่านจึงต้องขอต่อเบื้องบนซึ่งเป็นผู้กำหนดอายุขัย ของสรรพสัตว์ให้มีชีวิตยืนยาวจนกว่าจะสร้างเสร็จ ซึ่งท่านก็ต้องผัดผ่อนถึง 3 คราว ทั้งนี้เพราะทิพญาณช่วยให้ท่านรู้ว่าจะต้องมีผู้มาช่วยให้ท่านได้ปัจจัยมาก่อสร้างอย่างแน่นอน ซึ่งก็เป็นจริง เมื่อคุณประชา ตรีพาสัย ผู้เป็นชาวจังหวัดระยอง แต่ตอนนั้นเป็นข้าราชการกรมชลประทานได้พาคุณชินพร สุขสถิตย์ ไปนมัสการท่าน พอได้เห็นท่าน คุณชินพรก็บังเกิดความเลื่อมใส ศรัทธาท่านอย่างสูงสุด และท่านเองก็บังเกิดความปิติ กล่าวออกมาว่า “ผู้ที่จะช่วยให้อาตมาสมปณิธานมาแล้ว”
หลังจากนั้นคุณชินพรก็ได้ลงทุนสร้างพระกริ่งและพระไชยวัฒน์ถวายนามว่า “ชินบัญชร” และ เหรียญรูปเหมือนของท่านขึ้นก่อนเป็นประเดิม มอบให้ท่านประจุพระพุทธานุภาพ อิทธิ อภินิหารแล้วนำออกสมนาคุณแก่ผู้บริจาคปัจจัยเพื่อก่อสร้าง ศาลาการเปรียญ ตามปณิธานของท่าน และก็ด้วยบารมีของท่าน วัตถุมงคลนั้นได้รับความศรัทธาจากชาวพุทธทั้งหลาย ยังผงให้หมดไปในเวลาเพียงไม่ถึง 2 เดือน การก่อสร้างศาลาการเปรียญตามปณิธานของท่านจึงเริ่มขึ้น ซึ่งบัดนี้ก็ได้เสร็จแล้ว
วัตถุมงคลที่สร้างขึ้นนั้น ผู้ที่บูชาเช่าไปต่างก็เทิดทูน หวงแหน เพราะมีอิทธิอภินิหารจริง ๆโดยเฉพาะ พระกริ่ง นั้นได้มีผู้ทดลองอาราธนาฟาดสายรุ้ง ปรากฏว่า สายรุ้งขาดเป็นท่อน ๆ อย่างน่าอัศจรรย์
ว่าถึงอิทธิอภินิหารของพระอริยสงฆ์ท่านนี้ อันแสดงว่าท่านบรรลุญาณขั้นสูง มีอีกอย่างตามที่ข้าพเจ้าได้รับบอกเล่า อันเป็นที่น่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง นั่นคือในขณะที่จังหวัดระยองประสบอุทกภัย บริเวณวัดไร่วารีน้ำท่วมเพียงเอว ตอนสาย ๆ วันหนึ่ง พระคุณเจ้าเดินออกมาจากในกุฏิ ถือผ้ายันต์ของท่านมาด้วยผืนหนึ่ง ยืนบริกรรมที่หน้ากุฏิแล้วเหวี่ยงผ้ายันต์นั้นลงไปในน้ำ และหน้าอัศจรรย์ที่ผ้ายันต์ผืนนั้นคลี่ออกลอยบนผิวน้ำอย่างดิบดี และลอยลิ่วไปตามกระแสน้ำ หายลับตาไปสักครู่ใหญ่ ๆ ก็มีปรากฏการณ์ที่น่าอัศจรรย์ยิ่งขึ้นไปอีก โดยผ้ายันต์ผืนนั้นลอยทวนกระแสน้ำกลับมาหาท่าน และไม่กลับมาแต่ผ้ายันต์ซึ่งควรจะชุ่มน้ำจมหายไปอย่างเดียว ซ้ำบนผ้ายันต์ ยังมีลูกไก่ตัวเล็ก ๆ ตัวหนึ่งอยู่บนนั้น ซึ่งท่านนำขึ้นมาเลี้ยงไว้บนกุฏิ
ถึงแม้สังขารของท่านจะอยู่ในสภาพชรา แต่ตามปรกติก็เป็นสังขารชราที่มีสุขภาพดี ไม่มีหลงลืมเลอะเลือน พูดจาป้ำเป๋ออย่างที่ควรจะเป็น แต่เมื่อศาลาการเปรียญสร้างเสร็จ ท่านก็อาพาธด้วยไข้หวัด ขั้นแรกก็มีอาการเล็กน้อย แต่มีที่น่าสะดุดก็ตรงที่ท่านไม่ยอมฉันภัตตาหาร ซึ่งตามปรกติเป็นอาหารเจและฉันมื้อเดียว ในที่สุดก็เห็นกันว่าท่านมีอาการหนัก อาการบอกว่าท่านจะไปละ บรรดาลูกศิษย์ลูกหาจึงนำท่านไปรับการรักษาพยาบาลที่ ร.พ. ศรีราชา ทั้งที่ท่านไม่เต็มใจ
ในระหว่างที่ท่านอยู่ในโรงพยาบาล มดหมอจะทำอย่างไรกับสังขารของท่าน ท่านปล่อยให้ทำไปตามใจ ท่านหลับตาเข้าสมาธิ ไม่สนใจมีความรู้สึกต่อการกระทำของมดหมออย่างที่สังขารของท่านไร้วิญญาณ ภัตตาหารก็ไม่ยอมฉัน ต่อเมื่อหมอวางมือแล้วท่านจึงลืมตา พูดจากับลูกศิษย์ ลูกหาที่ไปเฝ้าดูอาการท่านอยู่
ครั้งถึงวันที่ 14 ตุลาคม 2518 ท่านจึงขอให้นำสังขารของท่านกลับวัด และบอกว่าจะทำพิธีถอดดวงวิญญาณ จึงพาท่านกลับ แต่ลูกศิษย์ก็ไม่ยอมให้ท่านถอดดวงวิญญาณทั้งที่ท่านบอกให้รู้กันล่วงหน้าแล้วว่า “ศาลาการเปรียญสร้างเสร็จ ก็จะหลับไม่ตื่น” ในที่สุดถึงวันที่ 16 ตุลาคม ในตอนกลางคืน ท่านขอธูปมาจุด บูชาสมเด็จพระบรมศาสดา เสร็จแล้วไต่ถามสั่งเสีย ลูกศิษย์ลูกหาที่เฝ้าอยู่แล้วท่านก็หลับตาเข้าสมาธิ เวลาประมาณ 23.35 น.วิญญาณของท่านก็สละสังขาร – สละชนิดที่ไม่กลับคืนมาอีก เพราะถึงกำหนดที่ท่านขอผัดผ่อนแล้ว
การจุดธูปบูชาพระบรมศาสดาพระพุทธเจ้า แล้วเข้าสมาธิ นี่แหละเป็นกรรมวิธีในการถอดวิญญาณของพระอริยสงฆ์และอริยบุคคล ขอให้ท่านศึกษาเถิด แล้วท่านจะรู้ว่า ข้าพเจ้ามิได้เพ้อเจ้อ
ลักษณะอีกอย่างหนึ่ง ที่บอกถึงว่าพระคุณเจ้า หลวงปู่ทิมได้จากไปโดยการถอดวิญญาณ นั่นคือ สังขารที่ท่านทิ้งไว้ มีหน้าตาสดใสผิวพรรณเปล่งปลั่ง มีประกายยิ้มอย่างไร้กังวล อย่างที่ท่านหลับอย่างสุขขารมณ์
เมื่อการจากไปของท่านอย่างบ่งบอกว่าท่านเป็นพระอริยสงฆ์ ซึ่งเหนือกว่า พระเกจิอาจารย์ธรรมดาเช่นนี้แล้ว ท่านที่ได้วัตถุมงคล ที่ท่านประจุพระพุทธานุภาพ อิทธิอภินิหาร จึงพึงหวงแหน ส่วนท่านที่ยังไม่มีก็ควรแสวงหาไว้ ก่อนที่จะมีของปลอม ออกมาเกลื่อนกลาดอย่างวัตถุมงคลในนามพระคุณเจ้าธมฺมวิตกฺโก และพระคุณเจ้าพระครูญาณวิลาศ วัดเขาบันไดอิฐ
เครดิตข้อมูล: ขุนกิม
เว็บไซด์ที่เกี่ยวข้อง: พระพิจิตร